เมนู

อรรถกถานิคคหจตุกกะ


หมวด 4 แห่งนิคคหะ


ครั้นทำปฏิกรรมอย่างนี้แล้ว บัดนี้ ปรวาทีใดที่ถูกสกวาทีทำนิค-
คหะในอนุโลมปัญจกะแก่ตนได้อาศัยวาทะอันมีเลศนัยนั้น ๆ นั่นแหละ
แห่งปัญหานั้นแสดงความกระทำที่ไม่ชอบ โดยกล่าวคำเป็นต้นว่า
ตฺวญฺเจ ปน มญฺญสิ ดังนี้. บรรดาคำเหล่านั้นคำว่า ตฺวญฺเจ
ปน มญฺญสิ แปลว่า ก็ท่านยังจะยืนยัน.
คำว่า พึงกล่าว นี้ ท่านกล่าวหมายเอาคำรับรองว่า " ใช่ "
ในปัจจนิก. ก็ข้อว่า ไม่พึงกล่าว นี้ ท่านกล่าวหมายเอาคำหมิ่น คือ
คำปฏิเสธว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ข้อว่า เตน ตฺวํ ตตฺถ ได้แก่
ด้วยเหตุนั้น ท่านนั่นแหละย่อมมีในฝักใฝ่ ที่หยั่งเห็นไม่ได้. คำว่า
เมื่อรับรองอยู่ ได้แก่รับรองอยู่ว่า ใช่ อย่างนี้ ดังนี้. คำว่า
พึงนิคคหะอย่างนี้ ความว่า เมื่อหมิ่นอยู่ด้วยคำว่า ไม่พึงกล่าว
อีกชื่อว่า พึงนิคคหะอย่างนี้. คำว่า ดังนั้นเราจึงนิคคหะท่าน ความว่า
ที่นั้นพวกเราย่อมนิคคหะซึ่งท่านอันควรแก่การนิคคหะทีเดียว. คำว่า
ท่านเป็นผู้อันเรานิคคหะดีแล้ว ความว่า ท่านชื่อว่าเป็นผู้อันเรา
นิคคหะชอบแล้ว เพราะความเป็นนิคคหะตามมติของตน.
ปรวาทีนั้น ครั้นแสดงซึ่งภาวะอันตนพึงนิคคหะอย่างนี้แล้ว
บัดนี้เมื่อจะนิคคหะสกวาทีนั้น จึงกล่าวคำว่า หากว่า เป็นต้น.

บรรดาคำเหล่านั้น บัณฑิตพึงทราบ ฐปนา ปาปนา และ
อาโรปนา โดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ. ก็ในบทที่สุด คำว่า
นี้เป็นความผิดของท่าน อธิบายว่า คำของท่านนี้ผิด. ข้อนี้ชื่อว่า
นิคคหะจตุกกะเพราะปรวาที ทำนิคคหะโดยอาการ 4 อย่าง ด้วยวาทะ
อันมีเลศนัย.
อรรถกถานิคคหจตุกกะ จบ

อุปนยนจตุกกะ


[4] ป. หากนิคคหะที่เราทำแก่ท่านนี้ เป็นนิคคหะชั่วไซร้
ท่านจงเห็นอย่างเดียวกันนั่นแหละ ในนิคคหะที่ท่านได้ทำแก่เรา ใน
กรณีว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
แต่ไม่พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้า
หยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ก็เราผู้ปฏิ-
ญาณอยู่ข้างรับรองบุคคลอย่างนี้ ด้วยปฏิญญานี้ อันท่านไม่พึงนิคคหะ
อย่างนี้ ดังนั้น ท่านนิคคหะชั่วเทียว คือนิคคหะว่า หากว่า ท่านหยั่ง
เห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงกล่าวว่า สภาวะ
ใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตาม
สภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึง
กล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึง
กล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเห็น
บุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดังนี้ ผิด, แต่ถ้าไม่
พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่ง
เห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ, ก็ต้องไม่กล่าวว่า
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ, ที่ท่านกล่าวไว้ในปัญหา
นั้นว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึงกล่าวว่า
สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น
ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดังนี้ นี้เป็นความผิดของท่าน.
อุปนยนจตุกกะ จบ